Search This Blog

Translate

Thursday 1 August 2013

พ่อแม่เป็นพรหมของลูก

ที่ยกย่องพ่อแม่ว่าเป็นพรหมของลูก  หรือเป็นพรหมในบ้านนั้น  เพราะเหตุว่าท่านทั้งสองทรงธรรมของพรหมเป็นอุปนิสัย  เป็นหลักธรรมประจำใจในการดำรงชีวิต  จึงมีจิตใจเสมือนพรหม  เรียกคุณธรรมนี้ว่า  "พรหมวิหาร ๔ " ได้แก่

1.  เมตตาพรหมวิหาร  พ่อแม่มีความเป็นมิตรไมตรีกับลูกทุกคนเสมอเท่าเทียมกัน  ปรารถนาให้ลูกได้รับความสุข  พยายามสรรหาสิ่งบำรุงเลี้ยงลูกทั้งทางกายและทางใจ  เพื่อให้ลูกมีความสุขตามควรแก่วัย  เช่น  หาอาหารที่อร่อยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ  เพื่อที่ลูกจะได้มีร่างกายสมบูรณ์และแข็งแรงมีภูมิต้านทานโรคภัยไข้เจ็บได้  ลูกอยากจะรับประทานอะไรท่านก็ไม่ปฏิเสธ  เมื่อตอนลูกยังเล็ก ๆ  ท่านเคยเลี้ยงดูลูกอย่างไร  แม้ลูกโตจนรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว  ก็ยังปฏิบัติต่อลูกเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง  ท่านรู้ใจลูกชอบอะไร  ก็จะพยายามทำสิ่งที่ลูกชอบ  เพื่อความสุขกายและใจของลูก  พ่อแม่ทำได้เสมอ  ท่านมีความเอื้อเฟื้อและเกื้อกูลลูกโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ  พ่อแม่เป็นบุคคลที่มีความเมตตาอย่างบริสุทธิ์ต่อลูกเสมอ   ลูกมีความสุขท่านก็พลอยสุขด้วย   แต่ท่านจะมีความสุขมากในยามชรา ถ้าลูกของท่านมีความเมตตาเอื้อเฟื้อเกื้อกูลท่านบ้าง ไม่ปล่อยให้ท่านรอหรือหวนหา  ลูกก็ไม่เคยมาให้พ่อแม่เห็นหน้า  อ้างว่าไม่มีเวลา  ทำแต่งานจนลืมผู้มีพระคุณ  ปล่อยให้ท่านเป็นโรคเหงาเศร้าซึมเพราะคิดถึงลูก
ถ้าเป็นเช่นนั้นไม่ดีแน่

2.  กรุณาพรหมวิหาร  เมื่อยามลูกเจ็บป่วยพ่อแม่ช่วยดูแลรักษา  ปรารถนาให้ลูกหายเจ็บป่วยเร็ว ๆ  คอยเฝ้าป้อนข้าวป้อนน้ำ  หายูกยามาบำบัด  หรือถ้าป่วยไข้หนักต้องรักษาเป็นพิเศษ  ท่านก็พาไปหาหมอที่เชี่ยวชาญเฉพาะโรค  ถึงแม้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายไม่เสียดาย  พ่อแม่เสียสละเพื่อลูกได้เสมอ  ขอเพียงให้ลูกพ้นจากความเจ็บปวดทรมานกายและใจ  ลูกเจ็บป่วยท่านก็พลอยทุกข์ไปด้วย  พ่อแม่มีความสงสารลูกเมื่อลูกประสบกับปัญหาต่าง ๆ  ซึ่งไม่สามารถคลี่คลายได้ด้วยตนเอง  ท่านก็จะพยายามคิดหาหนทางที่จะช่วยแก้ไขให้  ไม่ปล่อยให้ลูกต้องจมอยู่กับปัญหาตามลำพัง  ถึงแม้ว่าปัญหาบางอย่าง  อาจจะต้องใช้ทรัพย์เป็นจำนวนมากจึงจะแก้ไขได้  ท่านก็พยายามที่จะช่วย  บางครั้งยอมขายสมบัติหรือเป็นหนี้เขาก็มี.....นี่แหละคือความเป็นพรหมของพ่อแม่  จะมีแต่ความรักและสงสารลูกไม่เสื่อมคลาย

3.  มุทิตาพรหมวิหาร  หมายถึง  ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีมีสุข.......พ่อแม่มีคุณธรรมในข้อนี้ก็คือ  เมื่อลูกได้ดีมีความสุข  ประสบความสำเร็จในการเล่าเรียน  มีการงานทำ  มีตำแหน่งหน้าที่ดี  มีเกียรติในสังคม  มีความเจริญก้าวหน้า  หรือมีคู่ครองที่ดีและเหมาะสม  พ่อแม่ก็พลอยมีความยินดีและมีความสุขใจกับลูกด้วย   เมื่อลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่มีครอบครัวเป็นฝั่งฝาที่มีความสุข  ท่านทั้งสองก็พลอยยินดีกับลูก

4.  อุเบกขาพรหมวิหาร  หมายถึง ความวางใจเป็นกลาง  เมื่อได้พิจารณาด้วยปัญญาเห็นตามความเป็นจริงของสภาพธรรมแล้ว  ไม่เอนเอียงด้วยราคะหรือด้วยโทสะ  พิจารณาเห็นกรรมของสัตว์ทั้งหลายที่ได้กระทำไปแล้ว  ย่อมมีผลเป็นทุกข์  มีวิบากเป็นอกุศลหรือมีผลเป็นสุข  มีวิบากเป็นกุศล  พ่อแม่มีคุณธรรมข้อสุดท้ายก็คือ  "อุเบกขาพรหมวิหาร"   เมื่อลูกเติบโตและมีการงานทำ  มีครอบครัวเป็นที่มั่นคงแล้ว  ท่านทั้งสองก็วางใจเป็นกลาง  เมื่อลูกมีปัญหาก็จะพิจารณาเห็นด้วยปัญญาในเรื่องของกรรม  ว่าสัตว์ทั้งหลาย  มีวิถีชีวิตดำเนินไปตามกรรมของตนที่ได้กระทำ  เขาต้องรับผิดชอบในกรรมที่ได้กระทำไว้  พ่อแม่ไม่ควรเข้าไปวุ่นวายกับชีวิตครอบครัวของลูก  แต่ก็ใช่ว่าท่านจะเมินเฉยต่อลูก  ไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งสิ้น นั่นก็ไม่ถูกต้อง  พ่อแม่เป็นห่วงลูกรักลูกเสมอ  แม้ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรง  แต่ท่านก็เฝ้าดูแลอยู่ห่าง ๆ โดยวางใจเป็นกลาง

พ่อแม่เป็นบุคคลผู้ดำรงอยู่ในพรหมวิหารธรรม  ซึ่งเป็นธรรมอันเป็นเครื่องอยู่ของพรหม  หรือเครื่องอยู่อย่างพรหม  พ่อแม่จึงช่วยเหลือลูก ๆ  ด้วยเมตตากรุณา  ท่านมีมุทิตาและพิจารณาเห็นด้วยปัญญาในเรื่องของกรรม  ว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นไปตามกรรมของตน  ดังนั้น ท่านจึงวางใจเป็นกลางหรือเรียกอีกอย่างว่า  "รักษาธรรมไว้ด้วยอุเบกขา"   พรหมวิหาร ๔  จึงเป็นธรรมประจำใจที่ทำให้เป็นพรหมหรือให้เสมอด้วยพรหม  หรือเป็นธรรมเครื่องอยู่ของผู้มีคุณอันเหลือล้น  ซึ่งหมายถึง  "พ่อแม่" นั่นเอง

พ่อแม่เป็นผู้มีอุปการะคุณอย่างยิ่ง  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า "มารดาบิดาเป็นพรหม บุรพาจารย์ และอาหุไนยของบุตร  บุญคุณของท่าน  บุตรไม่อาจทำตอบแทนให้สิ้นสุดด้วยอุปการะอันเป็นโลกิยะ  แม้บุตรตั้งใจว่า  เราจักตอบแทนบุญคุณบิดามารดา  แล้ววางมารดาไว้บนงอยบ่าเบื้องขวา  วางบิดาไว้บนจะงอยบ่าเบื้องซ้าย  ประคับประคองในอวัยวะทั้งปวง ทำการบำรุงท่านผู้ดำรงอยู่บนจะงอยบ่าทั้ง ๒   ด้วยภารกิจมีการอบกลิ่นเป็นต้นน  บิดามารดานั่งถ่ายปัสสาวะและอุจจาระบนจะงอยบ่าของลูก  บุตรนั้นแม้จะทำอยู่อย่างนั้นตลอด ๑๐๐ ปี  ก็ไม่อาจทำตอบแทนแก่ท่านได้เลย  แม้ว่าบุตรจะสถาปนาบิดาาไว้ในดำแหน่งพระเจ้าจักรพรรดิ  และสถาปนามารดาไว้ในดำแหน่งพระอัครมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิ  แม้เมื่อทำได้อย่างนั้น  บุตรก็ไม่อาจทำตอบแทนแก่ท่านได้เหมือนกัน  ส่วนบุตรคนใดตั้งบิดามารดาผู้ไม่มีศรัทธาให้สมาทาน  ดำรงตั้งอยู่ในสัทธาสัมปทา  ยังบิดามารดาผู้ทุศีลให้สมาทานดำรงตั้งอยู่ในสิลสัมปทา  ยังบิดามารดาผู้มีความตระหนี่  ให้สมาทานดำรงตั้งอยู่ในจาคสัมปทา  ยังบิดามารดาผู้มีปัญญาน้อยให้สมาทานดำรงตั้งอยู่ในปัญญาสัมปทา  บุตรนั้นจึงจะชื่อว่า  สามารถทำตอบแทนบุญคุณของท่านได้".

เพราะฉะนั้น  ทุกคนมีพ่อแม่และบางท่านก็อาจจะกำลังเป็นพ่อแม่  บางท่านก็อาจจะเป็นพ่อแม่อยู่   หรือ เมื่อได้ทราบถึงพระคุณของพ่อแม่แล้วว่า  มีมากมายมหาศาล  ซึ่งลูกไม่สามารถที่ลูกจะตอบแทนได้หมดด้วยการบำรุงเลี้ยงดูอย่างเดียว  ต้องบำรุงด้วยธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วย  คือ  ศีล  สมาธิ  ปัญญา  แนะนำให้พ่อแม่รักษาศีล ๕ หรือ ๘  ศึกษาพระธรรม ด้วยการฟังธรรมและมีการสนทนาธรรม  ตามกาล  อบรมเจริญความสงบของจิตและเจริญปัญญาในขั้นสูงขึ้นตามลำดับ  ท่านผู้ใดบำรุงพ่อแม่ทั้งกายและใจได้ดังนี้  ถือว่าเป็นการกระทำตอบแทนบุญคุณอย่างยิ่ง  และท่านผู้นั้นก็จะเป็นผู้ที่มีแต่ความสุข  ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตด้วย  เพราะเหตุว่าเป็นคนมีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ.


                               .................................................













  

No comments:

Post a Comment

Note: only a member of this blog may post a comment.